วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สงกรานต์

สงกรานต์ (อังกฤษWater Festival ถอดเป็นอักษรละติน: Songkran; เขมรសង្រ្កាន្តพม่าသင်္ကြန်ลาวສົງການจีน泼水节) เป็นประเพณีของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย[1] สันนิษฐานว่า สงกรานต์ได้รับอิทธิพลมาจากเทศกาลโฮลี (होली) ในอินเดีย แต่เทศกาลโฮลีจะใช้การสาดสีแทน เริ่มในทุกวันแรม 1 ค่ำเดือน 4 คือ ในเดือนมีนาคม[2]
สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึง "การเคลื่อนย้าย" ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี คือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สงกรานต์สืบทอดมาแต่โบราณคู่กับตรุษ จึงเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึง ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เดิมวันที่จัดเทศกาลกำหนดโดยการคำนวณทางดาราศาสตร์ แต่ปัจจุบันระบุแน่นอนว่า 13 ถึง 15 เมษายน วันขึ้นปีใหม่ไทยเป็นวันเริ่มปีปฏิทินของไทยจนถึง พ.ศ. 2431 จากนั้นวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่จนถึง พ.ศ. 2483[3]
พิธีสงกรานต์เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติและความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ สังคมไทยสมัยใหม่เกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีการประชาสัมพันธ์ในเชิงท่องเที่ยวว่าเป็น Water Festival หรือ เทศกาลแห่งน้ำ[4] ซึ่งตัดส่วนที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมไป

พิธีแต่งงานไทยมุสลิมภาคใต้โบราณ

ประเพณีการแต่งงานของชาวไทยมุสลิมภาคใต้
        การสืบทอดเผ่าพันธ์ของมนุษย์ ทุกภาษามีวัฒนธรรมประเพณีสืบทอดกันมา คือ การแต่งงานมีคู่ครองที่ผ่านการยอมรับจากสังคม ขั้นตอนกระบวนการในพิธีแต่งงานของแต่ละสังคมล้วนเป็นไปตามประเพณี  ซึ่งประเพณีการแต่งงานแบบมุสลิมภาคใต้ก็เช่นกัน 
    การประยุกต์ประเพณีการแต่งงานของไทยกับหลักศาสนบัญญัติว่าเรื่องการแต่งงานมุสลิม กล่าวคือ มีการเพิ่มขบวนขันหมากเข้าไป ขบวนแห่ กล้วย อ้อย ขนม การผสมผสานกันระหว่างประเพณีในท้องถิ่นกับหลักศาสนา ซึ่งการแต่งานของมุสลิมนั้นถือว่ามีความละเอียดสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีความสำคัญมากเพราะต้องเป็นไปตามศาสนบัญญัติที่ว่า ต้องแต่งงานกับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามด้วยกันเท่านั้น ส่วนในกรณีที่อีกฝ่ายนับถืออีกศาสนาหนึ่ง ต้องเข้านับถือและยอมรับศาสนาอิสลามเสียก่อน

     
      พิธีแต่งงานไทยมุสลิมภาคใต้โบราณ เริ่มต้นตั้งแต่การสู่ขอ ก็คือมารดาหรือญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชาย ต้องไปสู่ขอกับญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง พร้อมทั้งของฝากอาจจะเป็นขนมหรือผลไม้ก็ได้ การสู่ขอนั้น ยังไม่มีการตกลง โดยจะบอกว่าขอเวลาประมาณ 7 วันในการปรึกษากับญาติพี่น้องเสียก่อน หากญาติฝ่ายหญิงพึงพอใจก็จะส่ง คนที่ได้รับความเคารพนับถือไปบอกในกรณีที่ตกลง จากนั้นก็จะเป็นกำหนดวันแต่งงาน เรื่องของสินสอด มะฮัรฺ
   เมื่อดำเนินการสู่ขอเสร็จแล้วขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการหมั้น ซึ่งการหมั้นก็จะมี 2 ลักษณะคือ หมั้นก่อนทำพิธีนิกะห์  หรือทำพิธีนิกะห์แล้วจึงทำพิธีหมั้น  ข้อแตกต่างกันก็คือ เมื่อหมั้นก่อน ฝ่ายชายไม่สามารถถูกเนื้อต้องตัวฝ่ายหญิงได้ แต่เมื่อทำพิธีนิกะห์แล้วทำพิธีหมั้น ฝ่ายชายสามารถแตะเนื้อต้องตัวได้ และสามารถสวมของหมั้นให้แก่ ฝ่ายหญิงได้  และยังสามารถจัดพิธีนั่งบัลลังก์ เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมแสดงความยินดีได้อย่างสมเกียรติ 
   ส่วนขบวนขันหมากนั้น มักจะเลือกบุคลที่มีความสำเร็จในชีวิตสมรส หรือเป็นคนที่น่านับถือ สำหรับบางรายที่เคร่งครัดมากๆ ถึงขั้น ห้ามหญิง หม้าย กับสาวแก่ ถือขันหมากเลยทีเดียว

    การแต่งงานของมุสลิมต้องมีองค์ประกอบดังนี้
            ๑. เจ้าบ่าว
          ๒. เจ้าสาว
          ๓. ผู้ปกครองของฝ่ายหญิงเป็นผู้ให้ความยินยอม
          ๔. มีการกล่าวบอกและกล่าวรับรู้โดยผู้ปกครองของฝ่ายหญิง   เป็นผู้กล่าวบอกคำนิกะฮ  การนิกะฮ นิยมทำที่บ้านเจ้าสาว  ก่อนนิกะฮให้มีการอ่านคุฏบะฮ  เพื่ออบรมเกี่ยวกับการครองเรือนเสร็จแล้วจึงทำการนิกะฮว่า "(ขานชื่อเจ้าบ่าว)  ฉันจะนิกะฮเธอกับ  (ชื่อเจ้าสาว)  บุตร…….ซึ่งบิดาของเจ้าสาวได้มอบให้ฉันเป็นผู้ ทำพิธีนิกะฮแทน  โดยสินสอด  …………บาท" เจ้าบ่าวต้องรับด้วยวาจาทันทีโดยบอกกล่าวรับว่า "ฉันรับนิกะฮดังกล่าวด้วยสินสอด…………….. บาท" เมื่อเสร็จการถามตอบดังกล่าวแล้ว ก็ถือว่าการแต่งงานครั้งนั้นสมบูรณ์แล้ว  และหากต้องการเอกสารเพื่อยืนยันการสมรส  ก็จะขอให้โต๊ะอีหม่ามเป็นผู้ออกเอกสารนั้น

 
  
     การให้นั่งบัลลังก์ เมื่อขบวนขันหมากมาถึงบ้านเจ้าสาว ญาติเจ้าสาวจะออกมาต้อนรับเจ้าบ่าว และนำเจ้าสาวมานั่ง ในบัลลังกืที่เตรียมไว้ ซึ่งช่วงนั้นจะเป็นเวลากลางคืน เบื่อบ่าวสาวนั่งบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว จะมีการเชื้อเชิญญาติของทั้ง 2 ฝ่ายร่วมแสดงความยินดี จากนั้นจะเป็นการเชิญญาติผู้ใหญ่ทำพิธีกินสมางัต โดยการเอา ส้มแขก เกลือ ข้าว ป้อนให้คู่บ่าวสาว เพื่อเป็นสิริมงคล จากนั้นเชิญญาติผู้ใหญ่ 3 คน มาป้อนขาวเหนียว 3 สี (ขาว แดง เหลือง) ไข่และขนม ให้กับคู่บ่าวสาว การป้อน ต้องป้อนแต่ละคนจนครบทุกอย่าง เมื่อญาติผู้ใหญ่ป้อนครบ 3 คนแล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี ไม่มีพิธี มานีซลีมา (การอาบน้ำชำระมลทิน)และพิธีปลือป๊ะห์ (สะเดาะเคราะห์คู่บ่าวสาว)อย่างสมัยก่อน
   
    หลังจากการกินเหนียว (มาแกปูโละ)เป็นการกินเลี้ยงฉลองสมรส เสร็จแล้วจะมีการส่งตัวเจ้าสาว เพื่อแสดงการยอมรับเจ้าบ่าวว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว แต่เมื่อส่งตัวเสร็จ ต้องกลับไปนอนบ้านตัวเองก่อนจนครบ 3 คืน จึงไปอยู่บ้านอยู่บ้านเจ้าบ่าอีก 3 คืน หรือแยกครอบครัวออกไป

ประเพณีการเลี้ยงขันโตก

เป็นประเพณีของชาวเหนือที่นิยมปฏิบัติสืบต่อกันมา
ตั้งแต่โบราณ การเลี้ยงแขกโดยการกินข้าวขันโตก ซึ่งอาจมีหลายชื่อทีใช้เรียก
ขานกัน เช่น กิ๋นข้าวแลงขันโตก หรือเรียกสั้นๆ ว่า ประเพณี ขันโตก
หรือสะโตก
    ขันโตกเป็นภาชนะที่ทำด้วยไม้ โดยนำมากลึงให้เป็นลักษณะกลมเหมือนถาด
ขันโตกขนาดเล็กนั้น จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๔ นิ้ว และขนาดใหญ่
จะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ ๒๐ นิ้ว หรือถ้าเป็น
ขันโตกสำหรับ เจ้านายฝ่ายเหนือ หรือคหบดีก็จะดัดแปลงให้หรูหราตามแต่ฐานะ
บ้างก็ใช้เงินทำหรือ “ทองกาไหล่” หรือไม่ก็ลงรัก ปิดทอง
.ประเพณีการเลี้ยงขันโตก
ประเพณีไทย ประเพณีการเลี้ยงขันโตก เป็นประเพณีของชาวเหนือที่นิยมปฏิบัติสืบต่อกันมา
ตั้งแต่โบราณ การเลี้ยงแขกโดยการกินข้าวขันโตก ซึ่งอาจมีหลายชื่อทีใช้เรียก
ขานกัน เช่น กิ๋นข้าวแลงขันโตก หรือเรียกสั้นๆ ว่า ประเพณี ขันโตก
หรือสะโตก
    ขันโตกเป็นภาชนะที่ทำด้วยไม้ โดยนำมากลึงให้เป็นลักษณะกลมเหมือนถาด
ขันโตกขนาดเล็กนั้น จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๔ นิ้ว และขนาดใหญ่
จะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ ๒๐ นิ้ว หรือถ้าเป็น
ขันโตกสำหรับ เจ้านายฝ่ายเหนือ หรือคหบดีก็จะดัดแปลงให้หรูหราตามแต่ฐานะ
บ้างก็ใช้เงินทำหรือ “ทองกาไหล่” หรือไม่ก็ลงรัก ปิดทอง
    ในสมัยก่อน ชาวเหนือนิยมรับประทานอาหารกับพื้น เมื่อแม่บ้านทำกับข้าว
เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะยกออกมาตั้งโตก โดยในขันโตกนั้นจะมีกับข้าวพร้อม
และเมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็ยก ไปเก็บทั้งโตก เป็นการประหยัดเวลา
ในการจัดและเก็บ
ถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของชาวเหนือที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา
ซึ่งการเลี้ยงขันโตกก็ยังได้รับความนิยมและใช้เลี้ยงรับรองผู้มาเยือนอยู่
เสมอๆ
    จุดมุ่งหมายของการกินข้าว แบบขันโตกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ก็ได้มีการพัฒนา มาจากสมัยก่อน โดยถือว่านอกจากจะ
เพื่อเป็นการเลี้ยงรับรองแขกที่มาเยือน ให้หรูหรา สมเกียรติ
และเพื่อให้เกิดความอบอุ่นประทับใจใน การต้อนรับแล้วยัง ไ้ด้มีการประยุกต์
เอาวิธีการเลี้ยงดูแขกให้มีความหมายลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่ม
สีสันของการจัดงาน ให้ยิ่งใหญ่ดูวิจิตรพิสดาร เพียบพร้อมไปด้วย บรรยากาศของ
เมืองเหนือจริงๆ โดย ประดับประดาเวทีด้วย ดอกไม้ต้นไม้ให้ดูผสมผสานและดู
กลมกลืนกันไป การตระเตรียมขั้นตอนการดำเนินงานเลี้ ยงขันโตก
เพื่อให้พิธีการ หรูหรา ประณีต และงดงาม
เหล่านี้เป็นการสร้างบรรยากาศเลี้ยงรับรองแขกเหรื่อ เพื่อให้ประทับใจ
และถือเป็นการให้ ความยกย่องแขกทั้งสิ้น
    จะเห็นว่า การกินข้าวขันโตกของชาวเหนือนั้น
นอกจากจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อ แสดงน้ำใจในการต้อนรับแขก
และเป็นการให้เกียรติแก่ผู้มาเยือนแล้วในปัจจุบัน
ก็ยังได้มีจุดมุ่งหมายที่แฝงอยู่หลายประการ เช่น บาง
ท้องถิ่นก็ได้จัดงานเลี้ยง ขันโตก เพื่อเป็นการอนุรักษ์
และฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณี ในท้องถิ่นของตนเอง
เพื่อฟื้นฟูการแต่งกายแบบพื้นเมือง
เพื่อการทำอาหารพื้นเมืองเพื่อส่งเสริมการ ท่องเที่ยว
ให้ชาวบ้านมีรายได้มีงานทำด้วย บางแห่งก็มีการจัดงาน เลี้ยงขันโตก
เพื่อหารายได้สำหรับสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ท้องถิ่น
    งานจะเริ่มจากการร่วมแรงร่วมใจกันตระเตรียมสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ
ตลอด ไปจนสถานที่ โดยจะประดับเวที ฉาก และการแสดงบนเวที สำหรับสถานที่นิยม
จัดในที่กลางแจ้ง เช่น สนามหญ้าต่างๆ แล้วนำเสื่อมาปู ส่วนมากเป็นเสื่อยาวๆ
จะนั่งกันประมาณ ๕ ถึง ๖ คน มีขันโตกตั้งอยู่ตรงกลาง
ในขันโตกส่วนมากก็จะมี อาหารประมาณ ๕ อย่าง ตัวอย่างเช่น แกงอ่อม แคบหมู
แกงฮังเล น้ำพริกอ่อง ชิ้นปิ้ง ผักสด และที่ขาดไม่ได้ คือ ข้าวเหนียว
หรือที่ชาวเหนือเรียกกันว่า ข้าวนึ่ง ข้าวนึ่งของชาวเหนือ
นั้นจะต้องอาศัยทักษะและ ความรู้ในการทำพอสมควร คือ เริ่มจากนำข้าวไปแช่น้ำ
เรียกว่า การหม่าข้าวไว้ ๑ คืน ในหม้อข้าวหม่า (หม้อที่
ใช้สำหรับแช่ข้าวเหนียว) ซึ่งก่อนที่จะทำการนึ่งต้องซาวข้าวด้วยการใช้
ซ้าหวด (คือ ภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่สำหรับ
ใส่ข้าวเหนียวเอาไปล้างน้ำให้สะอาดก่อน ที่จะนำไปนึ่ง)
การนึ่งจะต้องใช้ไหข้าวมีฝาปิดมิดชิดให้ข้าวสุกดีขึ้น แล้วยกลงมา
นำไปวางในภาชนะที่เรียกว่า กั๊วะข้าว หรือถาด ต้องคอยคนให้ไอน้ำในข้าวระเหย
ออกไปบ้าง และคอยระวังไม่ให้ข้าวแฉะ ข้าวแข็ง หรือสุกไม่ทั่วกัน
เมื่อข้าวสุก ได้ที่แล้ว ก็นำข้าวไปใส่ กระติ๊บบ้าง
หรือที่ทางเหนือเรียกว่า แอ๊บ หรือก่องข้าว ซึ่งนิยมสานด้วย
    สำหรับงานเลี้ยงข้าวขันโตก
จะมีกระติ๊บข้าวนึ่งที่มีขนาดใหญ่อีกกระติ๊บหนึ่ง เรียกว่า กระติ๊บหลวง
มีลักษณะเหมือนกระติ๊บทั่วไปแต่มีขนาดใหญ่มาก อาจต้อง
ใช้คนหามเข้าขบวนแห่นำขบวน ขันโตก โดยมีขบวนสาวงามช่างฟ้อนนำขบวน
ขันโตกเข้ามาในงาน ผสมกับเสียงดนตรี และเสียงโห่ร้องเพื่อแสดงความยินดี
เมื่อสาวงามช่างฟ้อนมาถึงงานเลี้ยงแล้ว ก็จะนำกระติ๊บหลวงไปวางไว้กลางงาน
และนำข้าวนึ่ง ในกระติ๊บหลวง ออกแบ่งใส่กระติ๊บเล็กๆ แจกจ่ายไปตามโตกต่างๆ
จนทั่วบริเวณงาน ซึ่งมีโตกกับข้าวเตรียมไว้ก่อนแล้ว
    การนั่งรับประทานอาหารในงานขันโตก จะนั่งกับพื้นบนสาดเติ้ม
(เสื่อไผ่สาน) หรือจะนั่ง
รับประทานขันโตกบนพื้นไม้ที่ยกพื้นขึ้นมาในระดับเวทีก็ได้
 
ประเพณีการเลี้ยงขันโตก
    ผู้ที่มาร่วมงานทุกคนจะแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองของชาวเหนือ
ผู้ชายสวมเสื้อ ม่อฮ่อม มีผ้า ขาวม้าคาดเอว มีพวงมาลัยดอกมะลิคล้องคอ
ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าถุง ยาวถึงตาตุ่ม สวมเสื้อแขนกระบอก ทัดดอกไม้ที่หู
หรือคล้องพวงมาลัยดอกมะลิ
    นอกจากอาหารคาวแล้ว ยังมีอาหารหวาน ที่นิยมเลี้ยงกันในงานขันโตก เช่น
ขนมปาด ข้าวแตน ข้าวควบ มีน้ำต้นคนโท ขันน้ำสำหรับล้างมือก่อนหยิบข้าวนึ่ง
มีกระโถนใส่เศษอาหาร และเมี่ยง บุหรี่ไว้สำหรับ แขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
บุหรี่ที่ใช้ คือ บุหรี่ขี้โย เป็นบุหรี่ยาเส้น นำมามวนใบตอง
ชาวบ้านนิยมสูบกันทั่วไป เมี่ยง คือ ใบชานำมาหมักให้ได้ที่ใช้อมกับเกลือ
มีรสเปรี้ยว อมเรียกน้ำลายทำให้ชุ่มคอ
    สำหรับบรรยากาศที่น่าประทับใจของงาน คือ จะให้แสงสว่างบนเวทีจากไฟ
ตะเกียง หรือแสงเทียน บนโตกมีการจุดเทียน ๒ – ๓ เล่ม ให้พอมองเห็นหน้ากัน
บนเวทีมีการตกแต่งประดับประดาให้เข้าบรรยากาศเมืองเหนือ
และมีวงดนตรีอยู่ที่ มุมหนึ่งของเวที
ในขณะที่แขกเหรื่อกำลังรับประทานอาหารก็มีการบรรเลงดนตรี
ขับกล่อมตลอดเวลาสลับกับการแสดงบนเวที และส่วนมากนิยมนำเอาศิลปะการ
ฟ้อนรำแบบชาวเหนือมาแสดงบนเวที สลับกับการแสดงดนตรีพื้นเมือง เช่น
ชุดการแสดงฟ้อนสาวไหม ฟ้อนตาว (ฟ้อนดาบ) ฟ้อนเทียน
    การจัดงานประเพณีกินข้าวแลง ที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้
ได้มีการนำเอาศิลปะ วัฒนธรรมของ
ชาวเหนือเข้ามาผสมผสานเพื่อให้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เช่น จัดให้
มีการประกวดโคมลอย การประกวดจิบอกไฟ (จุดบอกไฟ) หรือจุดพลุในเวลา
กลางคืนให้ดูสวยงาม เพิ่มสีสันให้แก่งานอย่างมาก

    งานประเพณีต้อนรับแขกชาวเหนือ
เป็นงานประเพณีที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ ของชาวไทยภาคเหนือ
เป็นการอนุรักษ์วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตั้งแต่ดั้งเดิมที่สืบมา
จนถึงทุกวันนี้ ทั้งยังเป็นการสร้างบรรยากาศ ในการต้อนรับให้อบอุ่น
และสร้าง ความประทับใจแก่ผู้มาเยือน ยากที่จะลืมเลือน

ประเพณีการแข่งเรือกอและด้วยฝีพาย

ช่วงเวลา ประเพณีการแข่งเรือกอและและเรือยาวด้วยฝีพายหน้าพระที่นั่ง ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๕ กันยายน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์

ความสำคัญ

ในการเสด็จแปรพระราชฐานทุกครั้งจะทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดใกล้เคียงทุกหมู่เหล่า ทรงวางโครงการน้อยใหญ่เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีความสงบสุขร่มเย็นด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาสต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจัดให้มีการแข่งขันเรือกอและอันเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวจังหวัดนราธิวาสถวายทอดพระเนตรเพื่อเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นและเป็นการฟื้นฟูประเพณีการแข่งเรือกอและด้วยฝีพาย หน้าพระที่นั่ง และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้จัดการแข่งขันเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ อีกทั้งได้พระราชทานถ้วยรางวัลแก่ทีมเรือที่ชนะการแข่งขันด้วย

สาระ

การแข่งขันใช้เรือกอและระยะทาง ๖๕๐ เมตร ผู้ควบคุมลำละ ๑ คน จำนวนฝีพายรวมทั้งนายท้ายไม่เกินลำละ ๒๓ คน และมีฝีพายสำรองไม่เกินลำละ ๕ คน การเปลี่ยนตัวในแต่ละเที่ยวทำได้เที่ยวละไม่เกิน ๕ คน ทั้งนี้ให้ผู้ควบคุมทีมประจำเรือแจ้งให้คณะกรรมการปล่อยเรือทราบ เรือที่เข้าแข่งขันทุกลำต้องถึงจุดเริ่มต้น (จุดปล่อยเรือ) ก่อนเวลาที่กำหนดแข่งขันในรอบนั้น หากไปช้ากว่ากำหนดเกิน ๑๕ นาทีถือว่าสละสิทธิ์จะปรับแพ้ในรอบนั้นได้ ก่อนการได้ยินสัญญาณ ณ จุดเริ่มต้นฝีพายทุกคนยกพายให้พ้นผิวน้ำ ยกเว้นนายท้ายเรือให้ใช้พายคัดท้ายเรือบังคับเรือให้หยุดนิ่ง และจะต้องวิ่งในลู่ของตน หากวิ่งผิดลู่หรือสายน้ำถือว่าผิดกติกาให้ปรับเป็นแพ้ในเที่ยวนั้น เรือที่เข้าถึงเส้นชัยก่อนลำอื่นโดยถือหัวเรือสุดเป็นการชนะการแข่งขันในเที่ยวนั้น การแข่งขันแบ่งเป็น ๔ รอบ รอบที่ ๑ และรอบที่ ๒ เป็นรอบคัดเลือก รอบที่ ๓ เป็นรอบรองชนะเลิศและรอบที่ ๔ เป็นรอบชิงชนะเลิศ

วันลอยกระทง

นลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา มักจะตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติบางปีเทศกาลลอยกระทงก็จะมาตรงกับเดือนตุลาคมด้วย เช่นปีพ.ศ. 2544วันลอยกระทงปีนั้นตรงกับวันที่31ตุลาคมและจะมาตรงกันอีกครั้งในปีพ.ศ. 2563 ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป นอกจากนี้บางประเทศก็มีเทศกาลลอยกระทงด้วย เช่นประเทศลาวมักจะลอยกระทงในวันออกพรรษา(ขึ้น15ค่ำ เดือน11)ในงานไหลเฮือไฟของลาว ประเทศกัมพูชา มีการลอยกระทง 2 ครั้ง คือลอยกระทงของหลวงกลางเดือน 11 ส่วนราษฎรทำกระทงเล็กและบรรจุอาหารไปด้วย ส่วนกลางเดือน 12 จะมีกระทงของหลวงเป็นกระทงใหญ่ ราษฎรจะไม่ได้ทำและกระทงนี้จะมีอาหารบรรจุลงไปด้วย โดยมีคติว่าเพื่อส่งส่วนบุญไปให้เปรต เทศกาลน้ำจะมีการเฉลิมฉลองด้วยการแข่งเรือยาว การแสดงพุลดอกไม้ไฟ จัดขึ้นทุกปีตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ จนถึงแรม 1 ค่ำ เดือนพฤศจิกายน ประเทศเมียนมาร์ ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" ตกแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคา

ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น[แก้]

โคมลอย
  • ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบัลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า ยี่เป็ง หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)
    • จังหวัดเชียงใหม่ มีประเพณี"ยี่เป็ง"เชียงใหม่ ในทุกๆปีจะมีการจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา และมีการปล่อยโคมลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า
    • จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
    • จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง
  • ภาคอีสาน ในอดีตมีการเรียกประเพณีลอยกระทงในภาคอีสานว่า สิบสองเพ็ง หมายถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองซึ่งจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป เช่น
    • จังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็นตัวแทนจัดงานลอยกระทงของภาคอีสาน ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน โดยมีชื่องานประเพณีว่า " สมมาน้ำคืนเพ็ง เส็งประทีป " ตามภาษาถิ่นมีความหมายถึงการขอขมาพระแม่คงคา ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ความพิเศษของงานมีการแสดง แสงสีเสียง ตำนานเมืองร้อยเอ็ด จัดให้มีการตกแต่งบริเวณเกาะบึงพลาญชัย(สถานที่จัดงาน)ให้เป็นเกาะสวรรค์ ตกแต่งสวยงาม ยิ่งใหญ่ มีขบวนกระทงอาเซียน มีการประกวดกระทงประทีปใหญ่ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การประกวดกระทงอนุรักษ์ธรรมชาติ การประกวดขบวนแห่กระทงประทีป 12 หัวเมือง ตามตำนานเมืองร้อยเอ็ด การประกวดรำวงสมมาน้ำคืนเพ็งเส็งประทีป การประกวดธิดาสาเกตนคร และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้จังหวัดร้อยเอ็ดยังได้รับโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทั้งสองพระองค์ ทรงพระราชทานพระประทีปส่วนพระองค์ ร่วมลงลอยในบึงพลาญชัยทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542
    • จังหวัดสกลนคร ในอดีตจะมีการลอยกระทงจากกาบกล้วย ลักษณะคล้ายกับการทำปราสาทผึ้งโบราณ เรียกงานนี้ว่าเทศกาลลอยพระประทีปพระราชทาน สิบสองเพ็งไทสกล
  • ภาคกลาง มีการจัดประเพณีลอยกระทงขึ้นทั่วทุกจังหวัด
    • กรุงเทพมหานคร จะมีงานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว 7-10 วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง
    • จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานประเพณีลอยกระทงกรุงเก่าขึ้นอย่างยิ่งใหญ่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ภายในงานมีการจัดแสดงแสง สี เสียง อย่างงดงามตระการตา
  • ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

ความเชื่อเกี่ยวกับวันลอยกระทง[แก้]

  • เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
  • เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
  • เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
  • ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพระยามารได้

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

วัฒนธรรมและประเพณี


ประเพณีบุญข้าวหลาม



ประเพณีบุญข้าวหลาม  อาจเป็นภาพแปลกตาสำหรับคนต่างถิ่นที่จะเห็นผู้คนนำข้าวหลามมาทำบุญที่วัดในวันมาฆบูชา แต่สำหรับชาวลาวเวียงและลาวพวน ชาวไทยเชื้อสายลาวที่อพยพจากเวียงจันทน์เข้ามาอาศัยในอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเซิงเทราตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๓ แล้ว   เป็นเรื่องชินตาที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาหลายรุ่น และประเพณีนี้เกิดขึ้นเฉพาะที่วัดหนองบัว วัดหนองแหน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเซิงเทราเท่านั้น
ก่อนถึงวันมาฆบูชา (๑๕ ค่ำ เดือน ๓) จะเป็นช่วงที่ชาวไทยเชื้อสายลาวในพนมสารคามซึ่งมีอาชีพทำนา เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ชาวนาจะได้ข้าวรุ่นแรกของแปลงซึ่งมีกลิ่นหอมชวนทาน เมื่อรวมกับความเชื่อที่ว่าการได้ถวายข้าวใหม่แด่พระภิกษุสงฆ์แล้วเป็นสิริมงคลกับตัวเองและครอบครัว  ชาวไทยเชื้อสายลาวในพนมสารคามจึงมีการนำข้าวที่เก็บเกี่ยวได้เป็นครั้งแรกนำมาทำข้าวหลามและขนมจีนถวายพระภิกษุสงฆ์  จนกลายมาเป็นประเพณีบุญข้าวหลามที่ปฏิบัติสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น
ชาวบ้านจะออกไปตัดไม้ไผ่สีสุกมาทำกระบอกข้าวหลาม กรอกข้าวเหนียวที่ผสมกะทิเรียบร้อยแล้ว ใส่กระบอกกแล้วนำไปเผาไฟ โดยจะขุดดินบนลานโล่งเป็นรางตื้นๆ  ตั้งกระบอกข้าวหลาม แล้วก่อกองไฟขนานไปกับกระบอกกข้าวหลาม บางบ้านจะใช้ต้นไม้ที่ล้มแล้วทั้งต้นมาจุดไฟเผาเป็นเชื้อเพลิงเผาข้าวหลาม


เริ่มเผาข้าวหลามที่ลานบ้านล่วงหน้าก่อนวันมาฆบูชา ๑ วัน วันรุ่งขึ้นจะนำข้าวหลามที่เผามาทั้งคืนถวายพระภิกษุสงฆ์ ช่วงสายๆ จะพากันเดินขึ้นเขาดงยาง ระยะทาง ๖ กิโลเมตร เพื่อปิดทองรอยพระพุทธบาทบนเขาดงยาง ซึ่งเส้นทางไปเขาดงยางจะต้องผ่านบ้านหัวสำโรง ซึ่งมีชาวไทยเชื้อสายกัมพูชามาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ประเพณีแพร่หลายไปสู่ชาวบ้านหัวสำโรง เกิดเป็นประเพณี “ขึ้นเขาเผาข้าวหลาม” สืบต่อกันมา
สิ่งที่แฝงมากับประเพณีบุญข้าวหลามนอกจากการชักจูงให้ผู้คนเข้าวัดทำบุญทำกุศลกันแล้ว ยังเป็นโอกาสพิเศษที่พี่น้องชาวลาวที่อพยพเข้ามาแล้วแยกย้ายกันไปได้กลับมารวมตัวกัน ญาติสนิทมิตรสหายที่ไม่ได้พบหน้ากันนานๆ ก็จะได้กลับมาพบหน้ากันอีกด้วย
ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีบุญข้าวหลาม/


ประเพณีแห่เทียนพรรษา



ประเพณีแห่เทียนพรรษา  ก่อนถึงวันเข้าพรรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ) พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะถือโอกาสเข้าวัดทำบุญ ถวายเทียนพรรษา ตามวัดวาอารามต่างๆ  ถึงแม้ว่าปัจจุบันการถวายเทียนได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับเหตุการณ์ เป็นการถวายหลอดไฟฟ้าแทนแล้วก็ตาม การถวายเทียนพรรษาก็ยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยในฐานะประเพณีแห่เทียนพรรษา
สมัยก่อน ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา พระภิกษุสงฆ์จะจำพรรษาอยู่ ณ วัดใดวัดหนึ่งตลอด 3 เดือน เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ในการศึกษาพระธรรมคำสอนจำเป็นต้องอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงหรือแสงเทียน ชาวบ้านที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็จะนำเทียนที่มีอยู่ในบ้านออกมารวมกัน หล่อให้เป็นเทียนขนาดใหญ่ แล้วจัดขบวนฟ้อนรำแห่ต้นเทียนไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ตามวัด ด้วยความเชื่อที่ว่าผู้ใดถวายเทียนพรรษาแด่พระภิกษุสงฆ์ ชีวิตจะสว่างไสวดุจแสงเทียน
โดยเทียนที่จะนำไปถวายตามวัดมีมีลักษณพิเศษกว่าเทียนทั่วไปคือ มีการแกะสลักลวดลายที่วิจิตรงดงามลงบนต้นเทียน หรือการพิมพ์ลายเทียนแล้วนำไปประดับบนต้นเทียน การประดับตกแต่งขบวนแห่ด้วยผ้าฝ้าย ผ้าไหม ดอกไม้สด เรียกได้ว่างานประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นงานประเพณีที่รวมเอาภูมิปัญญาชาวบ้านแขนงต่างๆ ในท้องถิ่นมาไว้ด้วยกัน  เช่น งานหล่อเทียน งานแกะสลักลวดลายไทย  งานประดับผ้าไหม ดอกไม้สด งานทอผ้าพื้นเมืองสำหรับเครื่องแต่งกายขบวนฟ้อนรำ การฟ้อนรำ เครื่องดนตรีประจำท้องถิ่น ฯลฯ


นอกจากนี้ งานประเพณีแห่เทียนพรรษายังแฝงไว้ด้วยกุศโลบายที่ต้องการเห็นความสามัคคีของคนในชุมชน การร่วมมือร่วมใจกัน  การมีส่วนร่วมในสังคม วัยหนุ่มสาวมีโอกาสได้มาร่วมด้วยช่วยกัน เป็นลูกมือช่างในการตกแต่งต้นเทียน  ร่วมกันอนุรักษศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างการฟ้อนรำที่เลียนแบบ ดัดแปลงท่วงท่ามาจากวิถีชีวิต การประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการรำเซิ้งต่างๆ เช่น เซิ้งกระติบ เซิ้งแหย่ไข่ดอง เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการฟ้อนรำ  เช่น โปงลาง แคน ที่ได้คนรุ่นเก่าถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ มีการถ่ายทอดเนื้อร้อง จังหวะที่สนุกสนาน ครื่นเครง จนทำให้งานประเพณีแห่เทียนเป็นงานประจำปีที่หลายคนตั้งตารอ
ประเพณีแห่เทียนนั้นจัดขึ้นทุกภาคของประเทศไทย ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคอีสาน แต่งานประเพณีแห่เทียนพรรษาที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดจะอยู่ที่ภาคอีสาน เช่น งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอื่นๆ ใกล้เคียง
ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีแห่เทียนพรรษา/


ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ



ในวันสารทไทย วันแรม๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ชาวเพชรบูรณ์จะร่วมใจกันอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชา พระคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์เข้าพิธีดำน้ำที่สืบทอดปฏิบัติกันต่อมาหลายรุ่นหลายสมัยจนกลายเป็นประเพณีอุ้มพระน้ำเป็นประจำทุกปี โดยมีพ่อเมืองเพชรบูรณ์หรือผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ทำหน้าที่อัญเชิญลงดำน้ำที่บริเวณท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร ด้วยเชื่อกันว่าการอุ้มพระดำน้ำจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาอาหารจะสมบูรณ์ พืชผลทางการเกษตรจะงอกงามดี ให้ผลผลิตมาก


ที่มาของประเพณีนี้มาจากการเล่าสืบๆ ต่อกันมาของคนรุ่นเก่าว่า ชาวประมงกลุ่มหนึ่งที่ออกหาปลาในลำน้ำป่าสักเป็นประจำทุกวัน วันหนึ่งเกิดเหตุประหลาด ตั้งแต่เช้าจนบ่ายหาปลาไม่ได้สักตัว ระหว่างที่นั่งปรึกษาหารือกันอยู่ว่าจะทำเช่นไปต่อไป กระแสนน้ำในลำน้ำป่าสักก็มีฟองน้ำผุดขึ้นมาเหมือนน้ำเดือด และกลายเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ ที่กลางน้ำวนก็มีพระพุทธรูปลอยขึ้นมาเหนือน้ำ  ชาวประมงที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอดจึงลงไปอัญเชิญขึ้นมาบนบก เพื่อให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชาและอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดไตรภูมิ และถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระพุทธมหาธรรมราชา
พระพุทธมหาธรรมราชา เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะลพบุรีทรงเครื่องกษัตริย์ พุทธลักษณะพระพักตร์กว้าง พระโอษฐ์แบะ พระกรรณยาวย้อยจรดพระอังสะ พระเศียรทรงชฎาเทริด ทรงสร้อยพระศอพาหุรัด ทรงประคดเป็นลานสวยงาม  สร้างด้วยเนื้อทองสำริด หน้าตักกว้าง ๑๓ นิ้ว สูง ๑๘ นิ้ว ไม่มีฐาน

พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรภูมิได้ ๑ ปี จนกระทั่งถึงเทศกาลสารทไทย พระพุทธรูปเกิดหายไปอย่างไร้ร่องรอย ชาวบ้านจึงออกตามหา สุดท้ายไปพบว่าลอยน้ำอยู่ตรงจุดที่พบพระพุทธรูปองค์นี้เป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมา เมื่อถึงเทศกาลสารทไทย ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เจ้าเมือง ข้าราชการ ประชาชนชาวเพชรบูรณ์ จะร่วมกันอัญเชิญพระพุทธรูปไปสรงน้ำ ณ จุดที่พบพระพุทธรูปเป็นครั้งแรก
อีกความเชื่อหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระพุทธรูปองค์นี้ นามว่า พระพุทธมหาธรรมราชา ถูกอัญเชิญจากสุโขทัยไปไว้ที่เพชรบูรณ์ทางเรือ พร้อมกับให้มีการสร้างวัดใหม่เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นี้

เมื่อถึงวันสารทไทย ชาวจังหวัดเพชรบูรณ์จะร่วมกันอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชา ขึ้นประดิษฐานบนบษบก แห่จากวัดไตรภูมิไปตามเส้นทางในเขตเทศบาล เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา ก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์รับหน้าที่อัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานบนเรือหน้าวัดไตรภูมิ ทวนแม่น้ำป่าสักขึ้นไป และไปทำพิธีดำน้ำ ที่ท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์จะอัญเชิญพระพุทธรูป ทูนไว้เหนือหัวค่อยๆ ดำน้ำลงไป  โดยหันหน้าไปทางเหนือ ๓ ครั้ง และหันหน้าทางใต้ ๓ ครั้ง
ปัจจุบันประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ผู้ที่ทำหน้าที่อัญเชิญคือ ผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้น ในฐานะพ่อเมืองเทียบเท่ากับเจ้าเมืองในสมัยโบราณ เป็นผู้ที่ต้องดูแลสอดส่องทุกข์สุขของประชาชน เป็นผู้มีหน้าที่ทำนุบำรุงพระศาสนา ด้วยเหตนี้จึงมีเพียงผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้นที่ทำหน้าที่นี้  ชาวเพชรบูรณ์เชื่อกันว่า ปีใดไม่มีการอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาดำน้ำ บ้านเมืองจะเกิดความแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง และพระพุทธรูปองค์นี้จะหายไปโดยหาสาเหตุไม่ได้อีกด้วย
ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ/


ประเพณีโยนบัว



ประเพณีโยนบัวหรือรับบัว เป็นประเพณีของชาวบางพลีที่เริ่มต้นจาก “น้ำใจไมตรี” ที่หยิบยื่นให้กับชาวพระประแดงและชาวอำเภอเมืองสมุทรปราการผ่านการเก็บดอกบัวให้กัน ปีแล้วปีเล่าจนกลายเป็นประเพณีสำคัญของชาวบางพลีมาจนถึงทุกวันนี้
ตามความเชื่อของชาวพุทธ เชื่อกันว่าดอกบัวเป็นดอกไม้ที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญอยู่หลายๆ ครั้งในพุทธประวัติ และยังเป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความเป็นมงคล  ประกอบกับสมัยก่อนในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการนั้น มีดอกบัวขึ้นอยู่ตามลำคลองเป็นจำนวนมาก ชาวบางพลีจึงริเริ่มให้มีประเพณีโยนบัวหรือรับบัวขึ้นหนึ่งวันก่อนวันออกพรรษา

ชาวบางพลีต่างร่วมแรงร่วมใจช่วยกันตกแต่งเรือสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของชาวบางพลี หลวงพ่อโต ล่องไปตามลำคลอง เพื่อรับดอกบัวที่ผู้คนต่างมายืนรอและพยายามโยนบัวจากสองฝั่งคลองมาให้ถึงเรือที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตด้วยจิตศรัทธา ระหว่างที่ล่องไปก็จะมีเรือขบวนร้องรำทำเพลง สร้างบรรยากาศสนุกสนานไปตลอดเส้นทางที่ขบวนเรือผ่าน
ที่มาของประเพณีโยนบัวหรือรับบัวนั้นมาจากสมัยก่อนย่านบางพลีจะมีดอกบัวขึ้นอยู่ตามลำคลอง ใครที่ต้องการดอกบัวไปบูชาก็จะแวะมาหาดอกบัวในที่แห่งนี้ ครั้งหนึ่งชาวอำเภอพระประแดงและชาวอำเภอเมืองสมุทรปราการต้องการดอกบัวไปบูชาพระคาถาพันและบูชาพระเนื่องในเทศกาลออกพรรษา  และที่ๆ มีดอกบัวให้เก็บจำนวนมากก็คือตามลำคลองบางพลีนั่นเอง คนจากสองอำเภอนี้จึงชักชวนกันพายเรือมาตามลำคลองเพื่อเก็บดอกบัว ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ

ชาวบางพลีซึ่งเป็นเจ้าบ้านพอทราบข่าวว่าคนจากสองอำเภอนี้มาเก็บดอกบัวเพื่อไปใช้บูชาพระ เห็นถึงความศรัทธาจึงนัดแนะคนบางพลีออกมาร่วมเก็บดอกบัว พร้อมกับเตรียมข้าวปลาอาหารไว้เลี้ยงรับรองชาวพระประแดงและชาวสมุทรปราการด้วย เมื่อเรือของชาวพระประแดงและชาวสมุทรปราการผ่านมาถึงหมู่บ้านบางพลีใหญ่ ชาวบางพลีก็เรียกให้แวะรับดอกบัวตามบ้านจากสองฝั่งคลอง
ว่ากันว่าการส่งมอบดอกบัวให้กันของชาวบางพลี ชาวพระประแดงและชาวอำเภอเมืองสมุทรปราการนั้นเป็นภาพที่งดงาม สุภาพ ส่งและรับด้วยมือและพนมมือตั้งจิตอธิษฐานอนุโมทนาผลบุญร่วมกัน หลังจากนั้นเป็นต้นมาชาวพระประแดง ชาวสมุทรปราการและชาวบางพลีกยังคงปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันมาทุกปีๆ จนกลายเป็นมีการนัดหมายระหว่างกันที่ทุกปีก่อนวันออกพรรษาจะต้องมานัดรับดอกบัวกัน
ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีโยนบัว/


ประเพณีตานก๋วยสลาก



ประเพณีตานก๋วยสลากหรือสลากภัตนี้เป็นประเพณีที่ชาวล้านนาแสดงความระลึกถึงบรรพบุรุษญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ก๋วยสลาก
ก๋วยสลาก สานจากไม้ไผ่เป็นรูปทรงกระบอก (ชะลอม) ข้างในกรุด้านข้างด้วยใบตอง สำหรับบรรจุข้าวสาร อาหารแห้ง ผลหมากรากไม้ ของใช้จำเป็น ดอกไม้ธูปเทียน โดยชาวบ้านจะนำก๋วยสลากของแต่ละคนไปรวมกันที่วัดเพื่อทำพิธีทางศาสนา
จากนั้นก็จะมีการสุ่มแจกสลากให้กับพระแต่ละรูปโดยที่ไม่มีใครทราบว่าในตานก๋วยสลากนั้นมีอะไรอยู่ข้างในบ้าง  พระรูปใดจับได้ตานก๋วยสลากของใครก็จะเรียกชื่อเจ้าของตานก๋วยสลากนั้นออกมารับศีลรับพร และกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้ว  ส่วนสิ่งของในตานก๋วยสลาก หากมีเหลือเฟือมากพระภิกษุก็จะนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ยากไร้อีกต่อหนึ่ง
คำว่า ตานก๋วยสลาก เป็นภาษาของชาวล้านนา หากเป็นภาษาภาคกลางจะตรงกับคำว่า สลากภัต ประเพณีตานก๋วยสลากทางภาคเหนือนิยมจัดกันในช่วงเดือน ๑๒ เหนือถึงเดือนยี่เหนือ หรือตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี
โดยมากแล้วชาวล้านนาจะจัดงานตานก๋วยสลากในช่วงที่ทำนาเสร็จแล้ว เป็นช่วงที่ได้หยุดพักผ่อนกัน  พืชพันธ์ผลไม้ต่างๆ ก็ออกลูกออกผล พระสงฆ์เองก็ยังอยุ่ในช่วงเข้าพรรษา ไม่ได้ไปจำพรรษาทีไหน ประจวบกับในช่วงเวลานั้น ชาวบ้านที่ขัดสน ข้าวที่เก็บเกี่ยวเอาไว้ในยุ้งฉางก็เริ่มจะหร่อยหรอ การจัดงานตานก๋วยสลากจึงเป็นการฝึกตนให้รู้จักการให้ทาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สังเคราะห์คนยากคนจน
ก่อนที่จะถึงวันงานตานก๋วยสลาก ทางภาคเหนือจะเรียกว่า วันดา หรือวันสุกดิบ ชาวบ้านจะจัดเตรียมอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ แล้วนำมาจัดใส่ก๋วยสลาก (ชะลอมไม้ไผ่) ที่กรุด้วยใบตอง เมื่อใส่ของลงไปในก๋วยสลากแล้วก็จะมัดปากให้เรียบร้อย  จากนั้นก็จะเหลาไม้ไผ่เป็นก้านเล็กๆสำหรับเป็นยอดก๋วยสลาก เอาไว้สำหรับเสียบสตางค์ กล่องไม้ขีดไฟ หรือบุหรี มากน้อยตามฐานะและศรัทธา สมัยก่อนจะนำใบลานมาทำเป็นเส้นสลากแทนกระดาษสำหรับเขียนระบุไปว่า อุทิศตานก๋วยสลากให้กับใคร อาจเป็นบรรพบุรุษ ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
999_57
เมื่อถึงวันถวายตานก๋วยสลาก ก็จะนำตานก๋วยสลากไปรวมกันที่หน้าวิหารที่วัดเพื่อทำพิธีทางศาสนา หลังจากนั้นก็จะนำเส้นสลากจากญาติโยมมาแจกแบ่งให้กับพระภิกษุแต่ละรูป แล้วอ่านเรียกชื่อเจ้าของสลากนั้น จากนั้นพระภิกษุที่ได้สลากของญาติโยมคนใดก็จะให้ศีลให้พรกับเจ้าของสลาก และกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
สำหรับก๋วยสลากที่ทำกัน  แบ่งได้ ๓ แบบ
ก๋วยน้อย ใช้สำหรับอุทิศให้กับบรรพบุรุษ หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะเป็นญาติพี่น้อง เป็นมิตรสหาย หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่เคยอยู่ด้วยกันมาก็ได้ ทั้งช้าง ม้า วัว ควาย แมว และสุนัข หรือถ้าไม่ได้ถวายทานให้กับใครเป็นพิเศษ ก็สามารถถวายเอาไว้ภายภาคหน้าก็ได้
ส่วน ก๋วยใหญ่ จะเป็นก๋วยที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ สามารถจุของได้มากกว่า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่มีฐานะดีที่ต้องการทำบุญอุทิศบุญกุศลไปให้กับพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว
สลากโชค จะต่างจากก๋วยสองแบบแรกอย่างชัดเจน  สลากโชคจะทำเลียนแบบต้นไม้สูงใหญ่ แล้วนำสิ่งของต่างๆ ไปแขวนไว้บนต้นไม้ เช่น ผ้าห่ม ที่นอน หมอน มุ้ง ถ้วยขาม เครื่องนุ่งหุ่ม อาหารแห้ง และเงินทอง
ประเพณีทำบุญสลากภัตหรือตานก๋วยสลากครั้งแรกในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นตามตำนานที่เล่าสืบๆ กันมาของปู่ย่าตายายถึงนางยักษ์ตนหนึ่งที่เมื่อได้ฟังพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดเสื่อมใสศรัทธา กลับเนื้อกลับตัว ที่เคยใจคอโหดเหี้ยมก็กลายเป็นผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อแก่คนทั่วไป จนผู้คนพากันชื่นชมในน้ำใจของนางยักษ์ตนนั้นจนนำสิ่งของต่างๆ มาแบ่งให้เป็นจำนวนมาก  นางยักษ์จึงนำข้าวของที่ได้รับมานั้นมาทำสลากภัต แล้วให้พระสงฆ์ สามเณรจับสลาก โดยของที่นำมาทำสลากภัตนั้นมีทั้งของมีค่าราคาแพง และราคาไม่แพง แตกต่างกันไปตามแต่สงฆ์หรือสามเณรรูปใดจะได้ไป

ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีตานก๋วยสลาก/


ประเพณีแข่งขันเรือยาวประเพณี



การแข่งขันเรือยาวประเพณี มรดกวัฒนธรรมทางสายน้ำที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำ เรือและผู้คน บนพื้นฐานความสามัคคีพร้อมเพรียง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชน ประเพณีการแข่งขันเรือยาวที่มักจัดคู่ไปกับการเข้าวัดทำบุญตักบาตร เนื่องในเทศกาลออกพรรษา ทอดกฐินผ้าป่าสามัคคี
ประเพณีแข่งขันเรือยาวประเพณีนี้ เป็นเกมกีฬาเก่าแก่ย้อนกลับไปถึงสมัยอยุธยากรุงเก่า เป็นที่นิยมเล่นกันทั้งภายในพระราชวังไปจนถึงชาวบ้านร้านตลาด  ดังที่มีปรากฏในกฏมณเทียรบาลเกี่ยวกับพระราชพิธีต่างๆ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ได้กล่าวถึงพระราชพิธีเดือน ๑๑ จะมีการแข่งเรือยาวขึ้น เพื่อเป็นการฝึกปรือกำลังพลทหารประจำกองเรือ
ส่วนการแข่งขันเรือยาวประเพณีของชาวบ้านทั่วไป จัดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการละเล่นในช่วงเทศกาลทอดกฐินด ทอดผ้าป่า ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือน ๑๑ – ๑๒ ซึ่งจะตรงกับฤดูน้ำหลากพอดี ชาวบ้านที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำซึ่งใช้เรือเป็นพาหนะอยู่แล้ว เมื่อถึงหน้ากฐิน ผ้าป่าสามัคคีก็มักจะนิยมนำเรือมาร่วมขบวนแห่ผ้ากฐิน องค์ผ้าป่าไปยังวัดอยู่แล้ว หลังพิธีการทางศาสนาจบลง จะมีการแข่งเรือกันขึ้นเพื่อความสนุกสนาน

ปัจจุบันการแข่งขันเรือยาวพัฒนาจากการละเล่น กีฬาเชื่อมความสามัคคีของคนในชุมชนกลายเป็นเกมกีฬาระดับประเทศชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯวันนี้ กลายเป็นกีฬาทางน้ำที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในหลายๆ สนามแข่งขัน ตามลุ่มน้ำสำคัญในประเทศ  เช่น ประเพณีแข่งขันเรือยาวจังหวัดพิจิต การแข่งขันเรือยาวจังหวัดน่าน การแข่งขันเรือยาวจังหวัดชุมพร  และจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นลุ่มน้ำสำคัญในประเทศไทย
การแบ่งประเภทการแข่งขันเรือยาว จะแบ่งตามขนาดของเรือ  เรือยาวใหญ่  ๔๑ – ไม่เกิน ๕๕ ฝีพาย  เรือยาวกลาง ฝีพาย ๓๑ – ไม่เกิน ๔๐ ฝีพาย  และเรือยาวเล็กที่มีฝีพายไม่เกิน ๓๐ ฝีพาย โดยเรือจะขุดขึ้นจากต้นตะเคียนทั้งต้นโดยช่างขุดเรือที่มีฝีมือในการขุดเรือ   ส่วนระยะทางที่ใช้แข่งขัน จะมีระยะทางประมาณ ๖๐๐ – ๖๕๐ เมตร โดยจะมีทุ่นบอกระยะทุกๆ ๑๐๐ เมตร
กติกาการแข่งขันเรือยาวประเพณี ใช้ระบบแพ้คัดออก โดยจับคู่แข่งขันกัน หากเรือฝ่ายใดแข่งชนะ ๒ ครั้ง ถือว่าเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ฝ่ายละเที่ยวก็จะต้องมาตัดสินในการแข่งเที่ยวที่ ๓

จุดประสงค์สำคัญของการจัดแข่งขันเรือยาวประเพณี ไม่ว่าจะเป็นสนามใดก็ตาม คือ สร้างความสามัคคีของฝีพายในเรือลำเดียวกัน  ความเสียสละของฝีพายที่จะต้องขยันหมั่นซ้อมพาย ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเสน่ห์ของเกมกีฬาประเภทนี้อีกอย่างก็คือ จังหวะ ความพร้อมเพรียงในการพาย การจ้วงพายให้เร็วขึ้นเมื่อเข้าใกล้เส้นชัย กระชับ รวดเร็วแต่พร้อมเพรียงกัน การแข่งขันที่ให้คนดูได้ลุ้นอยู่ตลอดเวลา และการพากย์เสียงของพิธีกรประจำสนามที่ต้องยอมรับว่าสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับการแข่งขันได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีการแข่งขันเรือยาว/