วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

วัฒนธรรมและประเพณี


ประเพณีบุญข้าวหลาม



ประเพณีบุญข้าวหลาม  อาจเป็นภาพแปลกตาสำหรับคนต่างถิ่นที่จะเห็นผู้คนนำข้าวหลามมาทำบุญที่วัดในวันมาฆบูชา แต่สำหรับชาวลาวเวียงและลาวพวน ชาวไทยเชื้อสายลาวที่อพยพจากเวียงจันทน์เข้ามาอาศัยในอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเซิงเทราตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๓ แล้ว   เป็นเรื่องชินตาที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาหลายรุ่น และประเพณีนี้เกิดขึ้นเฉพาะที่วัดหนองบัว วัดหนองแหน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเซิงเทราเท่านั้น
ก่อนถึงวันมาฆบูชา (๑๕ ค่ำ เดือน ๓) จะเป็นช่วงที่ชาวไทยเชื้อสายลาวในพนมสารคามซึ่งมีอาชีพทำนา เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ชาวนาจะได้ข้าวรุ่นแรกของแปลงซึ่งมีกลิ่นหอมชวนทาน เมื่อรวมกับความเชื่อที่ว่าการได้ถวายข้าวใหม่แด่พระภิกษุสงฆ์แล้วเป็นสิริมงคลกับตัวเองและครอบครัว  ชาวไทยเชื้อสายลาวในพนมสารคามจึงมีการนำข้าวที่เก็บเกี่ยวได้เป็นครั้งแรกนำมาทำข้าวหลามและขนมจีนถวายพระภิกษุสงฆ์  จนกลายมาเป็นประเพณีบุญข้าวหลามที่ปฏิบัติสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น
ชาวบ้านจะออกไปตัดไม้ไผ่สีสุกมาทำกระบอกข้าวหลาม กรอกข้าวเหนียวที่ผสมกะทิเรียบร้อยแล้ว ใส่กระบอกกแล้วนำไปเผาไฟ โดยจะขุดดินบนลานโล่งเป็นรางตื้นๆ  ตั้งกระบอกข้าวหลาม แล้วก่อกองไฟขนานไปกับกระบอกกข้าวหลาม บางบ้านจะใช้ต้นไม้ที่ล้มแล้วทั้งต้นมาจุดไฟเผาเป็นเชื้อเพลิงเผาข้าวหลาม


เริ่มเผาข้าวหลามที่ลานบ้านล่วงหน้าก่อนวันมาฆบูชา ๑ วัน วันรุ่งขึ้นจะนำข้าวหลามที่เผามาทั้งคืนถวายพระภิกษุสงฆ์ ช่วงสายๆ จะพากันเดินขึ้นเขาดงยาง ระยะทาง ๖ กิโลเมตร เพื่อปิดทองรอยพระพุทธบาทบนเขาดงยาง ซึ่งเส้นทางไปเขาดงยางจะต้องผ่านบ้านหัวสำโรง ซึ่งมีชาวไทยเชื้อสายกัมพูชามาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ประเพณีแพร่หลายไปสู่ชาวบ้านหัวสำโรง เกิดเป็นประเพณี “ขึ้นเขาเผาข้าวหลาม” สืบต่อกันมา
สิ่งที่แฝงมากับประเพณีบุญข้าวหลามนอกจากการชักจูงให้ผู้คนเข้าวัดทำบุญทำกุศลกันแล้ว ยังเป็นโอกาสพิเศษที่พี่น้องชาวลาวที่อพยพเข้ามาแล้วแยกย้ายกันไปได้กลับมารวมตัวกัน ญาติสนิทมิตรสหายที่ไม่ได้พบหน้ากันนานๆ ก็จะได้กลับมาพบหน้ากันอีกด้วย
ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีบุญข้าวหลาม/


ประเพณีแห่เทียนพรรษา



ประเพณีแห่เทียนพรรษา  ก่อนถึงวันเข้าพรรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ) พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะถือโอกาสเข้าวัดทำบุญ ถวายเทียนพรรษา ตามวัดวาอารามต่างๆ  ถึงแม้ว่าปัจจุบันการถวายเทียนได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับเหตุการณ์ เป็นการถวายหลอดไฟฟ้าแทนแล้วก็ตาม การถวายเทียนพรรษาก็ยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยในฐานะประเพณีแห่เทียนพรรษา
สมัยก่อน ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา พระภิกษุสงฆ์จะจำพรรษาอยู่ ณ วัดใดวัดหนึ่งตลอด 3 เดือน เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ในการศึกษาพระธรรมคำสอนจำเป็นต้องอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงหรือแสงเทียน ชาวบ้านที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็จะนำเทียนที่มีอยู่ในบ้านออกมารวมกัน หล่อให้เป็นเทียนขนาดใหญ่ แล้วจัดขบวนฟ้อนรำแห่ต้นเทียนไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ตามวัด ด้วยความเชื่อที่ว่าผู้ใดถวายเทียนพรรษาแด่พระภิกษุสงฆ์ ชีวิตจะสว่างไสวดุจแสงเทียน
โดยเทียนที่จะนำไปถวายตามวัดมีมีลักษณพิเศษกว่าเทียนทั่วไปคือ มีการแกะสลักลวดลายที่วิจิตรงดงามลงบนต้นเทียน หรือการพิมพ์ลายเทียนแล้วนำไปประดับบนต้นเทียน การประดับตกแต่งขบวนแห่ด้วยผ้าฝ้าย ผ้าไหม ดอกไม้สด เรียกได้ว่างานประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นงานประเพณีที่รวมเอาภูมิปัญญาชาวบ้านแขนงต่างๆ ในท้องถิ่นมาไว้ด้วยกัน  เช่น งานหล่อเทียน งานแกะสลักลวดลายไทย  งานประดับผ้าไหม ดอกไม้สด งานทอผ้าพื้นเมืองสำหรับเครื่องแต่งกายขบวนฟ้อนรำ การฟ้อนรำ เครื่องดนตรีประจำท้องถิ่น ฯลฯ


นอกจากนี้ งานประเพณีแห่เทียนพรรษายังแฝงไว้ด้วยกุศโลบายที่ต้องการเห็นความสามัคคีของคนในชุมชน การร่วมมือร่วมใจกัน  การมีส่วนร่วมในสังคม วัยหนุ่มสาวมีโอกาสได้มาร่วมด้วยช่วยกัน เป็นลูกมือช่างในการตกแต่งต้นเทียน  ร่วมกันอนุรักษศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างการฟ้อนรำที่เลียนแบบ ดัดแปลงท่วงท่ามาจากวิถีชีวิต การประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการรำเซิ้งต่างๆ เช่น เซิ้งกระติบ เซิ้งแหย่ไข่ดอง เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการฟ้อนรำ  เช่น โปงลาง แคน ที่ได้คนรุ่นเก่าถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ มีการถ่ายทอดเนื้อร้อง จังหวะที่สนุกสนาน ครื่นเครง จนทำให้งานประเพณีแห่เทียนเป็นงานประจำปีที่หลายคนตั้งตารอ
ประเพณีแห่เทียนนั้นจัดขึ้นทุกภาคของประเทศไทย ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคอีสาน แต่งานประเพณีแห่เทียนพรรษาที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดจะอยู่ที่ภาคอีสาน เช่น งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอื่นๆ ใกล้เคียง
ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีแห่เทียนพรรษา/


ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ



ในวันสารทไทย วันแรม๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ชาวเพชรบูรณ์จะร่วมใจกันอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชา พระคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์เข้าพิธีดำน้ำที่สืบทอดปฏิบัติกันต่อมาหลายรุ่นหลายสมัยจนกลายเป็นประเพณีอุ้มพระน้ำเป็นประจำทุกปี โดยมีพ่อเมืองเพชรบูรณ์หรือผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ทำหน้าที่อัญเชิญลงดำน้ำที่บริเวณท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร ด้วยเชื่อกันว่าการอุ้มพระดำน้ำจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาอาหารจะสมบูรณ์ พืชผลทางการเกษตรจะงอกงามดี ให้ผลผลิตมาก


ที่มาของประเพณีนี้มาจากการเล่าสืบๆ ต่อกันมาของคนรุ่นเก่าว่า ชาวประมงกลุ่มหนึ่งที่ออกหาปลาในลำน้ำป่าสักเป็นประจำทุกวัน วันหนึ่งเกิดเหตุประหลาด ตั้งแต่เช้าจนบ่ายหาปลาไม่ได้สักตัว ระหว่างที่นั่งปรึกษาหารือกันอยู่ว่าจะทำเช่นไปต่อไป กระแสนน้ำในลำน้ำป่าสักก็มีฟองน้ำผุดขึ้นมาเหมือนน้ำเดือด และกลายเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ ที่กลางน้ำวนก็มีพระพุทธรูปลอยขึ้นมาเหนือน้ำ  ชาวประมงที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอดจึงลงไปอัญเชิญขึ้นมาบนบก เพื่อให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชาและอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดไตรภูมิ และถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระพุทธมหาธรรมราชา
พระพุทธมหาธรรมราชา เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะลพบุรีทรงเครื่องกษัตริย์ พุทธลักษณะพระพักตร์กว้าง พระโอษฐ์แบะ พระกรรณยาวย้อยจรดพระอังสะ พระเศียรทรงชฎาเทริด ทรงสร้อยพระศอพาหุรัด ทรงประคดเป็นลานสวยงาม  สร้างด้วยเนื้อทองสำริด หน้าตักกว้าง ๑๓ นิ้ว สูง ๑๘ นิ้ว ไม่มีฐาน

พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรภูมิได้ ๑ ปี จนกระทั่งถึงเทศกาลสารทไทย พระพุทธรูปเกิดหายไปอย่างไร้ร่องรอย ชาวบ้านจึงออกตามหา สุดท้ายไปพบว่าลอยน้ำอยู่ตรงจุดที่พบพระพุทธรูปองค์นี้เป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมา เมื่อถึงเทศกาลสารทไทย ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เจ้าเมือง ข้าราชการ ประชาชนชาวเพชรบูรณ์ จะร่วมกันอัญเชิญพระพุทธรูปไปสรงน้ำ ณ จุดที่พบพระพุทธรูปเป็นครั้งแรก
อีกความเชื่อหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระพุทธรูปองค์นี้ นามว่า พระพุทธมหาธรรมราชา ถูกอัญเชิญจากสุโขทัยไปไว้ที่เพชรบูรณ์ทางเรือ พร้อมกับให้มีการสร้างวัดใหม่เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นี้

เมื่อถึงวันสารทไทย ชาวจังหวัดเพชรบูรณ์จะร่วมกันอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชา ขึ้นประดิษฐานบนบษบก แห่จากวัดไตรภูมิไปตามเส้นทางในเขตเทศบาล เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา ก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์รับหน้าที่อัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานบนเรือหน้าวัดไตรภูมิ ทวนแม่น้ำป่าสักขึ้นไป และไปทำพิธีดำน้ำ ที่ท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์จะอัญเชิญพระพุทธรูป ทูนไว้เหนือหัวค่อยๆ ดำน้ำลงไป  โดยหันหน้าไปทางเหนือ ๓ ครั้ง และหันหน้าทางใต้ ๓ ครั้ง
ปัจจุบันประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ผู้ที่ทำหน้าที่อัญเชิญคือ ผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้น ในฐานะพ่อเมืองเทียบเท่ากับเจ้าเมืองในสมัยโบราณ เป็นผู้ที่ต้องดูแลสอดส่องทุกข์สุขของประชาชน เป็นผู้มีหน้าที่ทำนุบำรุงพระศาสนา ด้วยเหตนี้จึงมีเพียงผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้นที่ทำหน้าที่นี้  ชาวเพชรบูรณ์เชื่อกันว่า ปีใดไม่มีการอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาดำน้ำ บ้านเมืองจะเกิดความแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง และพระพุทธรูปองค์นี้จะหายไปโดยหาสาเหตุไม่ได้อีกด้วย
ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ/


ประเพณีโยนบัว



ประเพณีโยนบัวหรือรับบัว เป็นประเพณีของชาวบางพลีที่เริ่มต้นจาก “น้ำใจไมตรี” ที่หยิบยื่นให้กับชาวพระประแดงและชาวอำเภอเมืองสมุทรปราการผ่านการเก็บดอกบัวให้กัน ปีแล้วปีเล่าจนกลายเป็นประเพณีสำคัญของชาวบางพลีมาจนถึงทุกวันนี้
ตามความเชื่อของชาวพุทธ เชื่อกันว่าดอกบัวเป็นดอกไม้ที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญอยู่หลายๆ ครั้งในพุทธประวัติ และยังเป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความเป็นมงคล  ประกอบกับสมัยก่อนในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการนั้น มีดอกบัวขึ้นอยู่ตามลำคลองเป็นจำนวนมาก ชาวบางพลีจึงริเริ่มให้มีประเพณีโยนบัวหรือรับบัวขึ้นหนึ่งวันก่อนวันออกพรรษา

ชาวบางพลีต่างร่วมแรงร่วมใจช่วยกันตกแต่งเรือสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของชาวบางพลี หลวงพ่อโต ล่องไปตามลำคลอง เพื่อรับดอกบัวที่ผู้คนต่างมายืนรอและพยายามโยนบัวจากสองฝั่งคลองมาให้ถึงเรือที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตด้วยจิตศรัทธา ระหว่างที่ล่องไปก็จะมีเรือขบวนร้องรำทำเพลง สร้างบรรยากาศสนุกสนานไปตลอดเส้นทางที่ขบวนเรือผ่าน
ที่มาของประเพณีโยนบัวหรือรับบัวนั้นมาจากสมัยก่อนย่านบางพลีจะมีดอกบัวขึ้นอยู่ตามลำคลอง ใครที่ต้องการดอกบัวไปบูชาก็จะแวะมาหาดอกบัวในที่แห่งนี้ ครั้งหนึ่งชาวอำเภอพระประแดงและชาวอำเภอเมืองสมุทรปราการต้องการดอกบัวไปบูชาพระคาถาพันและบูชาพระเนื่องในเทศกาลออกพรรษา  และที่ๆ มีดอกบัวให้เก็บจำนวนมากก็คือตามลำคลองบางพลีนั่นเอง คนจากสองอำเภอนี้จึงชักชวนกันพายเรือมาตามลำคลองเพื่อเก็บดอกบัว ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ

ชาวบางพลีซึ่งเป็นเจ้าบ้านพอทราบข่าวว่าคนจากสองอำเภอนี้มาเก็บดอกบัวเพื่อไปใช้บูชาพระ เห็นถึงความศรัทธาจึงนัดแนะคนบางพลีออกมาร่วมเก็บดอกบัว พร้อมกับเตรียมข้าวปลาอาหารไว้เลี้ยงรับรองชาวพระประแดงและชาวสมุทรปราการด้วย เมื่อเรือของชาวพระประแดงและชาวสมุทรปราการผ่านมาถึงหมู่บ้านบางพลีใหญ่ ชาวบางพลีก็เรียกให้แวะรับดอกบัวตามบ้านจากสองฝั่งคลอง
ว่ากันว่าการส่งมอบดอกบัวให้กันของชาวบางพลี ชาวพระประแดงและชาวอำเภอเมืองสมุทรปราการนั้นเป็นภาพที่งดงาม สุภาพ ส่งและรับด้วยมือและพนมมือตั้งจิตอธิษฐานอนุโมทนาผลบุญร่วมกัน หลังจากนั้นเป็นต้นมาชาวพระประแดง ชาวสมุทรปราการและชาวบางพลีกยังคงปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันมาทุกปีๆ จนกลายเป็นมีการนัดหมายระหว่างกันที่ทุกปีก่อนวันออกพรรษาจะต้องมานัดรับดอกบัวกัน
ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีโยนบัว/


ประเพณีตานก๋วยสลาก



ประเพณีตานก๋วยสลากหรือสลากภัตนี้เป็นประเพณีที่ชาวล้านนาแสดงความระลึกถึงบรรพบุรุษญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ก๋วยสลาก
ก๋วยสลาก สานจากไม้ไผ่เป็นรูปทรงกระบอก (ชะลอม) ข้างในกรุด้านข้างด้วยใบตอง สำหรับบรรจุข้าวสาร อาหารแห้ง ผลหมากรากไม้ ของใช้จำเป็น ดอกไม้ธูปเทียน โดยชาวบ้านจะนำก๋วยสลากของแต่ละคนไปรวมกันที่วัดเพื่อทำพิธีทางศาสนา
จากนั้นก็จะมีการสุ่มแจกสลากให้กับพระแต่ละรูปโดยที่ไม่มีใครทราบว่าในตานก๋วยสลากนั้นมีอะไรอยู่ข้างในบ้าง  พระรูปใดจับได้ตานก๋วยสลากของใครก็จะเรียกชื่อเจ้าของตานก๋วยสลากนั้นออกมารับศีลรับพร และกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้ว  ส่วนสิ่งของในตานก๋วยสลาก หากมีเหลือเฟือมากพระภิกษุก็จะนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ยากไร้อีกต่อหนึ่ง
คำว่า ตานก๋วยสลาก เป็นภาษาของชาวล้านนา หากเป็นภาษาภาคกลางจะตรงกับคำว่า สลากภัต ประเพณีตานก๋วยสลากทางภาคเหนือนิยมจัดกันในช่วงเดือน ๑๒ เหนือถึงเดือนยี่เหนือ หรือตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี
โดยมากแล้วชาวล้านนาจะจัดงานตานก๋วยสลากในช่วงที่ทำนาเสร็จแล้ว เป็นช่วงที่ได้หยุดพักผ่อนกัน  พืชพันธ์ผลไม้ต่างๆ ก็ออกลูกออกผล พระสงฆ์เองก็ยังอยุ่ในช่วงเข้าพรรษา ไม่ได้ไปจำพรรษาทีไหน ประจวบกับในช่วงเวลานั้น ชาวบ้านที่ขัดสน ข้าวที่เก็บเกี่ยวเอาไว้ในยุ้งฉางก็เริ่มจะหร่อยหรอ การจัดงานตานก๋วยสลากจึงเป็นการฝึกตนให้รู้จักการให้ทาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สังเคราะห์คนยากคนจน
ก่อนที่จะถึงวันงานตานก๋วยสลาก ทางภาคเหนือจะเรียกว่า วันดา หรือวันสุกดิบ ชาวบ้านจะจัดเตรียมอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ แล้วนำมาจัดใส่ก๋วยสลาก (ชะลอมไม้ไผ่) ที่กรุด้วยใบตอง เมื่อใส่ของลงไปในก๋วยสลากแล้วก็จะมัดปากให้เรียบร้อย  จากนั้นก็จะเหลาไม้ไผ่เป็นก้านเล็กๆสำหรับเป็นยอดก๋วยสลาก เอาไว้สำหรับเสียบสตางค์ กล่องไม้ขีดไฟ หรือบุหรี มากน้อยตามฐานะและศรัทธา สมัยก่อนจะนำใบลานมาทำเป็นเส้นสลากแทนกระดาษสำหรับเขียนระบุไปว่า อุทิศตานก๋วยสลากให้กับใคร อาจเป็นบรรพบุรุษ ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
999_57
เมื่อถึงวันถวายตานก๋วยสลาก ก็จะนำตานก๋วยสลากไปรวมกันที่หน้าวิหารที่วัดเพื่อทำพิธีทางศาสนา หลังจากนั้นก็จะนำเส้นสลากจากญาติโยมมาแจกแบ่งให้กับพระภิกษุแต่ละรูป แล้วอ่านเรียกชื่อเจ้าของสลากนั้น จากนั้นพระภิกษุที่ได้สลากของญาติโยมคนใดก็จะให้ศีลให้พรกับเจ้าของสลาก และกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
สำหรับก๋วยสลากที่ทำกัน  แบ่งได้ ๓ แบบ
ก๋วยน้อย ใช้สำหรับอุทิศให้กับบรรพบุรุษ หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะเป็นญาติพี่น้อง เป็นมิตรสหาย หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่เคยอยู่ด้วยกันมาก็ได้ ทั้งช้าง ม้า วัว ควาย แมว และสุนัข หรือถ้าไม่ได้ถวายทานให้กับใครเป็นพิเศษ ก็สามารถถวายเอาไว้ภายภาคหน้าก็ได้
ส่วน ก๋วยใหญ่ จะเป็นก๋วยที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ สามารถจุของได้มากกว่า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่มีฐานะดีที่ต้องการทำบุญอุทิศบุญกุศลไปให้กับพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว
สลากโชค จะต่างจากก๋วยสองแบบแรกอย่างชัดเจน  สลากโชคจะทำเลียนแบบต้นไม้สูงใหญ่ แล้วนำสิ่งของต่างๆ ไปแขวนไว้บนต้นไม้ เช่น ผ้าห่ม ที่นอน หมอน มุ้ง ถ้วยขาม เครื่องนุ่งหุ่ม อาหารแห้ง และเงินทอง
ประเพณีทำบุญสลากภัตหรือตานก๋วยสลากครั้งแรกในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นตามตำนานที่เล่าสืบๆ กันมาของปู่ย่าตายายถึงนางยักษ์ตนหนึ่งที่เมื่อได้ฟังพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดเสื่อมใสศรัทธา กลับเนื้อกลับตัว ที่เคยใจคอโหดเหี้ยมก็กลายเป็นผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อแก่คนทั่วไป จนผู้คนพากันชื่นชมในน้ำใจของนางยักษ์ตนนั้นจนนำสิ่งของต่างๆ มาแบ่งให้เป็นจำนวนมาก  นางยักษ์จึงนำข้าวของที่ได้รับมานั้นมาทำสลากภัต แล้วให้พระสงฆ์ สามเณรจับสลาก โดยของที่นำมาทำสลากภัตนั้นมีทั้งของมีค่าราคาแพง และราคาไม่แพง แตกต่างกันไปตามแต่สงฆ์หรือสามเณรรูปใดจะได้ไป

ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีตานก๋วยสลาก/


ประเพณีแข่งขันเรือยาวประเพณี



การแข่งขันเรือยาวประเพณี มรดกวัฒนธรรมทางสายน้ำที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำ เรือและผู้คน บนพื้นฐานความสามัคคีพร้อมเพรียง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชน ประเพณีการแข่งขันเรือยาวที่มักจัดคู่ไปกับการเข้าวัดทำบุญตักบาตร เนื่องในเทศกาลออกพรรษา ทอดกฐินผ้าป่าสามัคคี
ประเพณีแข่งขันเรือยาวประเพณีนี้ เป็นเกมกีฬาเก่าแก่ย้อนกลับไปถึงสมัยอยุธยากรุงเก่า เป็นที่นิยมเล่นกันทั้งภายในพระราชวังไปจนถึงชาวบ้านร้านตลาด  ดังที่มีปรากฏในกฏมณเทียรบาลเกี่ยวกับพระราชพิธีต่างๆ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ได้กล่าวถึงพระราชพิธีเดือน ๑๑ จะมีการแข่งเรือยาวขึ้น เพื่อเป็นการฝึกปรือกำลังพลทหารประจำกองเรือ
ส่วนการแข่งขันเรือยาวประเพณีของชาวบ้านทั่วไป จัดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการละเล่นในช่วงเทศกาลทอดกฐินด ทอดผ้าป่า ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือน ๑๑ – ๑๒ ซึ่งจะตรงกับฤดูน้ำหลากพอดี ชาวบ้านที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำซึ่งใช้เรือเป็นพาหนะอยู่แล้ว เมื่อถึงหน้ากฐิน ผ้าป่าสามัคคีก็มักจะนิยมนำเรือมาร่วมขบวนแห่ผ้ากฐิน องค์ผ้าป่าไปยังวัดอยู่แล้ว หลังพิธีการทางศาสนาจบลง จะมีการแข่งเรือกันขึ้นเพื่อความสนุกสนาน

ปัจจุบันการแข่งขันเรือยาวพัฒนาจากการละเล่น กีฬาเชื่อมความสามัคคีของคนในชุมชนกลายเป็นเกมกีฬาระดับประเทศชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯวันนี้ กลายเป็นกีฬาทางน้ำที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในหลายๆ สนามแข่งขัน ตามลุ่มน้ำสำคัญในประเทศ  เช่น ประเพณีแข่งขันเรือยาวจังหวัดพิจิต การแข่งขันเรือยาวจังหวัดน่าน การแข่งขันเรือยาวจังหวัดชุมพร  และจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นลุ่มน้ำสำคัญในประเทศไทย
การแบ่งประเภทการแข่งขันเรือยาว จะแบ่งตามขนาดของเรือ  เรือยาวใหญ่  ๔๑ – ไม่เกิน ๕๕ ฝีพาย  เรือยาวกลาง ฝีพาย ๓๑ – ไม่เกิน ๔๐ ฝีพาย  และเรือยาวเล็กที่มีฝีพายไม่เกิน ๓๐ ฝีพาย โดยเรือจะขุดขึ้นจากต้นตะเคียนทั้งต้นโดยช่างขุดเรือที่มีฝีมือในการขุดเรือ   ส่วนระยะทางที่ใช้แข่งขัน จะมีระยะทางประมาณ ๖๐๐ – ๖๕๐ เมตร โดยจะมีทุ่นบอกระยะทุกๆ ๑๐๐ เมตร
กติกาการแข่งขันเรือยาวประเพณี ใช้ระบบแพ้คัดออก โดยจับคู่แข่งขันกัน หากเรือฝ่ายใดแข่งชนะ ๒ ครั้ง ถือว่าเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ฝ่ายละเที่ยวก็จะต้องมาตัดสินในการแข่งเที่ยวที่ ๓

จุดประสงค์สำคัญของการจัดแข่งขันเรือยาวประเพณี ไม่ว่าจะเป็นสนามใดก็ตาม คือ สร้างความสามัคคีของฝีพายในเรือลำเดียวกัน  ความเสียสละของฝีพายที่จะต้องขยันหมั่นซ้อมพาย ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเสน่ห์ของเกมกีฬาประเภทนี้อีกอย่างก็คือ จังหวะ ความพร้อมเพรียงในการพาย การจ้วงพายให้เร็วขึ้นเมื่อเข้าใกล้เส้นชัย กระชับ รวดเร็วแต่พร้อมเพรียงกัน การแข่งขันที่ให้คนดูได้ลุ้นอยู่ตลอดเวลา และการพากย์เสียงของพิธีกรประจำสนามที่ต้องยอมรับว่าสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับการแข่งขันได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ที่มา:www.ประเพณี.net/ประเพณีการแข่งขันเรือยาว/


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น